5 บทเรียน ในการปฏิบัติต่อผู้อื่น Five lessons - ภาษาอังกฤษ

Five lessons to make you think about the way we treat people.
5 บทเรียนในการปฏิบัติต่อผู้อื่น

1. First Important Lesson - Cleaning Lady.
1. บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด

During my second month of college, our professor gave us a pop quiz. I was a conscientious student and had breezed through the questions, until I read the last one:

"What is the first name of the woman who cleans the school?"

เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในวิทยาลัยได้สองเดือน อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามสุดท้าย

"สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร?"


Surely this was some kind of joke. I had seen the cleaning woman several times. She was tall, dark-haired and in her 50s, but how would I know her name? I handed in my paper, leaving the last question blank. Just before class ended, one student asked if the last question would count toward our quiz grade.

ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่ ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุกว่า 50 แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร?

ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่

"Absolutely," said the professor. "In your careers, you will meet many people.
All are significant. They deserve your attention and care, even if all you do is smile and say "hello". I've never forgotten that lesson. I also learned her name was Dorothy.

"แน่นอน" อาจารย์ตอบ "เมื่อเธอเข้าทำงาน เธอจะต้องพบกับคนมากมาย ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอ
ที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่ แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"
ฉันไม่เคยลืมบทเรียนนั้นเลย และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี

2. Second Important Lesson - Pick-up in the Rain
2. บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน

One night, at 11:30 p.m., an older African American woman was standing on
the side of an Alabama highway trying to endure a lashing rainstorm. Her car had broken down and she desperately needed a ride. Soaking wet, she decided to flag down the next car. A young white man stopped to help her, generally unheard of in those conflict-filled 1960s. The man took her to safety, helped her get assistance and put her into a taxicab.

คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น. สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวงสายอลาบามา พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่ รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก แม้จะเปียกโชก เธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้งเรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่ 60 ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัย และส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่

She seemed to be in a big hurry, but wrote down his address and thanked him. Seven days went by and a knock came on the man's door. To his surprise, a giant console colour TV was delivered to his home. A special note was attached. It read:

"Thank you so much for assisting me on the highway the other night. The rain drenched not only my clothes, but also my spirits. Then you came along. Because of you, I was able to make it to my dying husband's bedside just before he passed away. God bless you for helping me and unselfishly serving others,"

Sincerely, Mrs. Nat King Cole.

แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขา และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย

เจ็ดวันหลังจากนั้น ก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา ด้วยความประหลาดใจ โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขา

และมีข้อความแนบมาด้วย ใจความว่า:
"ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ"

ด้วยความจริงใจ นาง แนท คิง โคล

3. Third Important Lesson - Always remember those who serve.
3. บทเรียนสำคัญที่สาม - ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ

In the days when an ice cream sundae cost much less, a 10 year-old boy entered a hotel coffee shop and sat at a table. A waitress put a glass of water in front of him. "How much is an ice cream sundae?" he asked. "Fifty cents," replied the waitress. The little boy pulled his hand out of his pocket and studied the coins in it.

ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ

เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า "ไอศครีมซันเดราคาเท่าไหร่ครับ?"
"ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบ แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า แล้วก็นับเหรียญในมือ

"Well, how much is a plain dish of ice cream?" he inquired. By now more people were waiting for a table and the waitress was growing impatient. "Thirty-five cents," she brusquely replied. The little boy again counted his coins. "I'll have the plain ice cream," he said. The waitress brought the ice cream, put the bill on the table and walked away. The boy finished the ice cream, paid the cashier and left. When the waitress came back, she began to cry as she wiped down the table.

"งั้น ไอศครีมเปล่าๆ ล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีก ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน "สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง

"ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอา ไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป เด็กชายทานไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไป เมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา เธอก็เริ่มร้องให้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะ

There, placed neatly beside the empty dish, were two nickels and five pennies. You see, he couldn't have the sundae, because he had to have enough left to leave her a tip.

บนโต๊ะนั้น มีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างจานเปล่านั้น เห็นไหมว่า เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น

4.Fourth Important Lesson - The Obstacles in Our Path.
4. บทเรียนสำคัญที่สี่ - สิ่งที่กีดขวางทางของเรา

In ancient times, a King had a boulder placed on a roadway. Then he hid himself and watched to see if anyone would remove the huge rock. Some of the king's wealthiest merchants and courtiers came by and simply walked around it.

ในยุคโบราณ มีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่
เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา
ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป

Many loudly blamed the King for not keeping the roads clear, but none did anything about getting the stone out of the way.

พวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานา ที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี
แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง

Then a peasant came along carrying a load of vegetables. Upon approaching the boulder, the peasant laid down his burden and tried to move the stone to the side of the road. After much pushing and straining, he finally succeeded. After the peasant picked up his load of vegetables, he noticed purse lying in the road where the boulder had been. The purse contained many gold coins and a note from the King indicating that the gold was for the person who removed the boulder from the roadway. The peasant learned what many of us never understand!

จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา เมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง
แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ
เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา เขาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่ ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา เขียนไว้ว่า ทองในถุงนั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน

ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้

Every obstacle presents an opportunity to improve o condition.
ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่ราจะดีขึ้น ให้กับเรา

5. Fifth Important Lesson - Giving When it Counts.
5. บทเรียนสำคัญที่ห้า - ให้เมื่อมีค่า

Many years ago, when I worked as a volunteer at a hospital, I got to know a little girl named Liz who was suffering from a rare & serious disease. Her only chance of recovery appeared to be a blood transfusion from her 5-year-old brother, who had miraculously survived the same disease and had developed the antibodies needed to combat the illness. The doctor explained the situation to her little brother, and asked the little boy if he would be willing to give his blood to his sister.

หลายปีมาแล้ว เมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็นโอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้ คือต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอ ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์ จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟัง และถามเด็กชายว่า เขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่

I saw him hesitate for only a moment before taking a deep breath and saying, "Yes I'll do it if it will save her." As the transfusion progressed, he lay in bed next to his sister and smiled, as we all did, seeing the colour returning to her cheeks. Then his face grew pale and his smile faded.

 ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า
"ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้"
 เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆ พี่สาว ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้มของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป

He looked up at the doctor an asked with a trembling voice,
"Will I start to die right away?".

เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ
"ผมกำลังจะตายใช่ไหม?"

Being young, the little boy had misunderstood the doctor; he thought he was going to have to give his sister all of his blood in order to save her.

ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อช่วยชีวิตเธอ

Now you have 2 choices
 ตอนนี้คุณมีทางเลือกสองทาง 
 
1. Delete this email, or
1. ลบข้อความนี้ไป หรือ 
 
2. Forward it to people you care about.
2. ส่งข้อความนี้ให้กับคนที่คุณห่วงใย 
 
I hope that you will choose No. 2 and remember, "Work like you don't need the money, love like you've never been hurt, and dance like you do when nobody's watching."

ฉันหวังว่าคุณจะเลือกข้อ 2. และจดจำไว้ว่า "ทำงานให้เหมือนกับคุณไม่ต้องการเงิน รักให้เหมือนกับคุณไม่มีวันจะเจ็บปวดกับมัน และเต้นรำให้เหมือนกับไม่มีใครมองคุณอยู่"